ก่อนจะเข้าสู่บทสรุป ข้อมูลงานเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ทั้งในเรื่องของ สเปค ไอโฟน 5 (iPhone 5) ราคา iphone 5 ไอโฟน 5 และการออกแบบ ไอโฟน 5 (iPhone 5) รวมไปถึงวันวางจำหน่าย ไอโฟน 5 (iPhone 5) เรามาชมภาพบรรยากาศก่อนเริ่มงานเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) กันก่อน โดยงานเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น จัดขึ้นที่ Yerba Buena Center for the Arts รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ครับ
iPhone 5 กับหน้าจอที่ยาวขึ้น
อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า ถึงแม้ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีบอดี้ที่คล้ายกับ iPhone 4S แต่เมื่อเจาะลึกแล้ว จะพบว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น มีตัวเครื่องที่ยาวกว่า บางกว่า และน้ำหนักเบากว่า โดย ไอโฟน 5 (iphone 5) นั้น มีความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร (iPhone 4S หนา 9.3 มิลลิเมตร) ซึ่งบางกว่า iPhone 4S 18% ครับ ส่วนน้ำหนัก ไอโฟน 5 (iphone 5) อยู่ที่ 112 กรัม เบากว่า iPhone 4S 20%
iPhone 5 กับกับกรอบด้านหลังแบบ Two-tone ให้ความรู้สึกที่ดูสวยงาม
มาดูกันที่ส่วนประกอบด้านหลังกันบ้าง จะเห็นว่า กรอบด้านหลัง ไอโฟน 5 (iphone 5) มีการออกแบบที่เปลี่ยนไป โดยทำมาจาก anodized aluminium ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับ MacBook นั่นเอง ส่วนด้านบน และด้านล่างนั้น สำหรับเครื่อง ไอโฟน 5 (iPhone 5) สีขาว ทำมาจาก ceramic glass ส่วน ไอโฟน 5 (iPhone 5) สีดำ ทำมาจาก pigmented glass ครับ (ซึ่งจุดนี้ ผมยังไม่ทราบว่า ทั้ง 2 วัสดุนี้ ต่างกันอย่างไร)
นอกจากนี้ Apple ยังได้ระบุว่า วัสดุที่มาผลิต ไอโฟน 5 (iPhone 5) อย่าง anodized aluminium เป็นวัสดุแบบบรีไซเคิล และไม่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติ โดยยึดหลักมาตรฐาน BFR-free และ PVC-free ที่ทาง Apple มั่นใจว่า ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน
ไมโครโฟนบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) มีทั้งหมด 3 จุดครับ คือ ด้านบน ด้านล่าง และด้านหลัง ระหว่างเลนส์กล้องกับไฟแฟลช ส่วนลำโพงสำหรับสนทนาในด้านบนนั้น ยังเป็นแบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอกอีกด้วย
หน้าจอขนาด 4 นิ้วแบบ Retina display ไม่ใช่แค่จอใหญ่ แต่ชัดขึ้นด้วย
มากันที่หน้าจอกันบ้างครับ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิม 3.5 นิ้ว เป็น 4 นิ้ว แบบ Retina display ความละเอียด 640 x 1136 พิกเซล ส่วนความหนาแน่นพิกเซลต่อนิ้วนั้น อยู่ที่ 326 ppi ครับ นอกจากนี้ หน้าจอของ ไอโฟน 5 (iphone5) นั้น ยังใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ ที่มีชื่อว่า Touch technology โดยรวมเลเยอร์ของหน้าจอ และระบบสัมผัส ไว้ในเลเยอร์เดียวกันครับ ซึ่ง Touch technology นั้น นอกจากจะทำให้หน้าจอบางลงแล้ว ยังช่วยทำให้สีสันของหน้าจอ ชัดขึ้นอีกด้วย
ส่วนไอคอนบนหน้าจอ เป็นแบบ 5 แถวครับ และไม่มีไอคอนของ YouTube อีกต่อไปครับ
ชิปเซ็ท Apple A6 ประมวลผลเร็วกว่าเดิม 2 เท่า
นอกจากหน้าจอ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ในส่วนของระบบประมวลนั้น ยังเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่าตัวเลยทีเดียวครับ โดย ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ใช้ชิปเซ็ท Apple A6 ซึ่งเป็นชิปเซ็ทแบบ Quad-core Processor ที่มีขนาดเล็กกว่า Apple A5 ถึง 22% แต่ช่วยทำให้การประมวลผลเร็วขึ้นกว่า ชิปเซ็ท Apple A5 ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่ซีพียู จะเร็วขึ้นเท่าตัวแล้ว ระบบประมวลผลภาพกราฟฟิค ยังเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่าอีกด้วยครับ
กล้อง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดการถ่ายภาพแบบ Panorama
น่าเสียดายที่ความละเอียดของกล้องบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ไม่ได้มีความละเอียดสูงถึง 12 ล้านพิกเซล ตามข่าวลือ แต่กลับมีความละเอียดเท่าเดิมที่ 8 ล้านพิกเซลครับ โดยพื้นผิวที่ครอบอยู่บนตัวเลนส์นั้น เป็น Sapphire Crystal ซึ่งมีความแข็งแรงเป็นอันดับ 2 รองจากเพชร ฉะนั้น ใครที่กลัวว่า เลนส์ด้านหลังจะเป็นรอยง่าย ให้หมดกังวลในจุดนี้ไปได้เลย
ไม่เพียงแค่กล้อง iSight บน ไอโฟน 5 (iphone5) จะสามารถถ่ายภาพแบบพาโนราม่าได้แล้ว ยังชัตเตอร์ได้เร็วขึ้น 40% และปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย (Low light) ได้ดีขึ้น และลด noise ของภาพอีกด้วย
Dock connector ขนาดเล็กลงเหลือ 8-pin เปิดตัว Lightning to 30-pin Adapter หัวแปลงพอร์ตสำหรับ ไอโฟน 5 (iPhone 5)
เนื่องจากตัวเครื่อง ไอโฟน 5 (iPhone 5) มีขนาดบางลงกว่าเดิม ทำให้พอร์ตการเชื่อมต่อในส่วนอื่นๆ สามารถปรับขนาดให้เล็กลงตามลงมาด้วย อย่างแรกก็คือ ช่อง Dock connector สำหรับชาร์ตแบตเตอรี่ และถ่ายโอนข้อมูลครับ ได้มีการปรับขนาดลง จากเดิม 30-pin เหลือแค่ 8-pin เท่านั้น ซึ่งสาย data cable นั้น มีชื่อเรียกว่า Lightning connector และเล็กกว่า connector แบบเก่าถึง 80% เลยทีเดียว
ไอโฟน 5 (iPhone 5) ใช้ nano-SIM card แทน micro-SIM card
ตามคาดครับ กับการเปลี่ยนขนาดของซิมการ์ดใหม่ เพื่อให้รองรับกับตัวเครื่องที่บางลง โดย ไอโฟน 5 (iPhone 5) ใช้ nano-SIM card ที่เล็กลงกว่าเดิมถึง 44% ซึ่งช่วยทำให้ประหยัดเนื้อที่ภายในตัวเครื่องอีกด้วยครับ
EarPods หูฟังแบบใหม่
สำหรับ EarPods นั้น ได้ถูกออกแบบใหม่ให้เข้ากับหูของเราได้ทุกสภาพ และทุกรูปแบบครับ โดย Apple ให้เหตุผลว่า ปกติแล้ว หูของคนเรา มักจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน คล้ายกับลายนิ้วมือที่ต้องเป็นของใครของมัน ฉะนั้น จึงได้พยายามหาวิธีการผลิตหูฟังแบบใหม่ ที่สามารถเข้ากับหูได้ทุกคนครับ ซึ่ง Apple ได้ทำการทดสอบ หูฟัง EarPods รุ่นต้นแบบ กับหูของผู้ทำการทดสอบกว่า 1,000 คน พบว่า สามารถใส่ได้พอดี ไม่เลื่อนหลุด และ ยังได้คุณภาพของเสียงที่เท่ากันอีกด้วย
นอกจากนี้ หูฟัง EarPods นั้น ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทนทานต่อทุกการใช้งานครับ แถมยังมีคุณสมบัติในการป้องกันเหงื่อและน้ำได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่ง Apple รับประกันว่า ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปในท่าไหน หูฟัง EarPods ก็ไม่หลุดอย่างแน่นอนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น